วันอาทิตย์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2558

สุขภาพดีง่าย ไม่ต้องใช้เงิน


นาฬิกาชีวิต เข็มทิศสุขภาพ


สอนยืดกล้ามเนื้อ ก่อนและหลังออกกำลังกาย


เมนูอาหารเพื่อสุขภาพ



สถิติข้อมูลโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง

http://thaincd.com/information-statistic/non-communicable-disease-data.php

Photoshop Tutorials



Beginner PHP Tutorial 1-200



MySQL Database Tutorial 1-33


การสร้างเว็บเเพจ ด้วย Dreamweaver CS6




วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ดื่มกาแฟอย่างไร ให้เป็นยารักษาโรคอัลไซเมอร์ และโรคพาร์คินสัน

ดื่มอย่างไร ให้เป็นยารักษาโรคอัลไซเมอร์ และโรคพาร์คินสัน
วันนี้สังคมไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุไปเรียบร้อยแล้วและโรคประจำของสังคมผู้สูงอายุทั่วโลกก็คือโรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer"s disease) ซึ่งเป็นโรคภาวะสมองเสื่อมที่พบมากที่สุดถึงร้อยละ 50-75 รองลงมาคือโรคพาร์คินสัน (Parkinson"s disease)
ในสังคมประเทศที่เจริญแล้วอย่างสหรัฐอเมริกา คนอายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไปมีอัตราป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์ร้อยละ 10 ในขณะที่สังคมไทยพบร้อยละ 3.4 น้องๆ อเมริกาเลยทีเดียว
และความชุกของโรคจะพบมากขึ้นในสังคมที่มีผู้สูงอายุมากขึ้น ยิ่งกว่านั้นยังจะพบเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าทุกๆ 5 ปีหลังอายุ 65 ปีไปแล้ว เห็นได้จากสถิติอัตราเกิดโรคในผู้สูงอายุ 65-69 ปี พบผู้ป่วย 3 คนต่อ 1,000 คน อายุ 70-74 ปี พบ 6 คน ในขณะที่ อายุ 75-79 ปี พบ 9 คน ตามลำดับและพบผู้ป่วยหญิงมากกว่าชาย
ในหมู่คนไทยเราเรียกโรคนี้ง่ายๆ ว่า "โรคความจำเสื่อม" เพราะในระยะสุดท้ายของโรค ผู้ป่วยจะสูญเสียความจำทั้งหมด ต่อมาจะสูญเสียการทำงานต่างๆ ของร่างกายและเสียชีวิตในที่สุด
หลังจากความจำเสื่อมและสูญเสียความสามารถทางภาษาแล้ว ผู้ป่วยจะมีชีวิตโดยเฉลี่ย 10 ปี
แม้จะค้นพบโรคนี้มากว่า 100 ปี โดยจิตแพทย์ชาวเยอรมันชื่อ อาลอยส์ อัลไซเมอร์ (Alois Alzheimer) แต่ทุกวันนี้ก็ยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดโรค นอกจากพบว่ามีความผิดปกติของโครโมโซมและเป็นโรคที่สืบทอดทางพันธุกรรม
โรคนี้ยังไม่มีใครพบวิธีป้องกัน ทั้งยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้
ข่าวดีสำหรับผู้สูงอายุ มีการค้นพบเมื่อเร็วๆ นี้ว่า เครื่องดื่มสมุนไพรใกล้ตัวที่ช่วยป้องกันโรคความจำเสื่อมได้ดีก็คือกาแฟถ้วย โปรดยามเช้าของทุกคนนั่นเอง เนื่องจากธุรกิจกาแฟแบรนด์ดังมีกำไรมหาศาล จึงมีทุนสนับสนุนงานวิจัยกาแฟว่ามีผลต่อสุขภาพของผู้ดื่มอย่างไร
แน่นอนผลเสียต่อสุขภาพของผู้เสพติดกาแฟ คือ ความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด ความดันโลหิตสูง การสูญเสียความหนาแน่นของมวลกระดูก เช่น การเกิดภาวะกระดูกสะโพกหักซึ่งพบบ่อยในผู้หญิงสูงอายุ
ก่อนอื่นควรทำความรู้จักสายพันธุ์กาแฟที่ปลูกและใช้บริโภคในบ้านเราเล็กน้อย แม้ทั่วโลกมีสายพันธุ์กาแฟมากกว่า 50 ชนิด แต่ที่นิยมปลูกในไทยมี 2 พันธุ์ คือ อราบิก้า (Coffea arabica L.) และ โรบัสต้า (Coffea robusta L.)
สายพันธุ์แรกนั้นชอบขึ้นบนดอยสูงทางภาคเหนือของไทย จุดเด่นคือมีกลิ่นหอมชวนลิ้มลอง และมีปริมาณกาเฟอีนต่ำ
ส่วนสายพันธุ์หลังนั้นชอบพื้นที่ราบทางภาคใต้ จุดเด่น คือ มีรสชาติเข้มและมีกาเฟอีนสูงเป็นสองเท่าของพันธุ์อราบิก้า
กาเฟอีน (caffeine) เป็นสารแซนทีนอัลคาลอยด์ธรรมชาติ พบได้ในเครื่องดื่มหลายชนิด เช่น เมล็ดกาแฟ ใบชา เครื่องดื่มโคล่า เครื่องดื่มชูกำลัง และโกโก้ เป็นต้น แต่เมล็ดกาแฟเป็นแหล่งของกาเฟอีนที่ใหญ่ที่สุด
ส่วนเมล็ดกาแฟจะมีกาเฟอีนมากหรือน้อย นอกจากขึ้นอยู่กับสายพันธุ์แล้ว ยังขึ้นอยู่กับกรรมวิธีการคั่ว
เมล็ดกาแฟที่คั่วนานจนสีเข้มจะมีกาเฟอีนน้อยกว่าที่คั่วสุกแต่ใช้เวลาไม่นาน เพราะกาเฟอีนจะสลายไปในระหว่างการคั่วนั่นเอง
โดยทั่วไปแล้ว น้ำกาแฟ 150 ซีซีจากเครื่องต้มทำกาแฟไม่มีกระดาษกรองจะมีกาเฟอีนสูงที่สุดถึง 115 มิลลิกรัม
ในขณะที่กาแฟกรองมีกาเฟอีน 80 ม.ก.
และกาแฟสำเร็จรูป 65 ม.ก. ตามลำดับ
เนื่องจากกาแฟเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมดังกล่าวแล้ว จึงมีการศึกษาทางระบาดวิทยาในต่างประเทศจำนวนมากเพื่อหาความสัมพันธ์ของ พฤติกรรมการดื่มกาแฟกับผลกระทบต่อสุขภาพ เช่น ในฟินแลนด์มีการศึกษาวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบไปข้างหน้าระยะยาวที่เรียกว่า โคฮอร์ต (cohort study) ซึ่งเก็บข้อมูลจากอาสาสมัครจำนวน 1,409 คนเริ่มต้นจากอายุเฉลี่ย 50 ปี เก็บข้อมูลไปข้างหน้า 21 ปี พบอาสาสมัครมีภาวะความจำเสื่อม 61 คน วินิจฉัยว่าเป็นโรคอัลไซเมอร์ถึง 48 คน
ผลจากการวิเคราะห์พบว่า ผู้ที่ดื่มกาแฟตั้งแต่มีอายุช่วงวัยกลางคนจนเข้าสู่วัยสูงอายุ มีแนวโน้มป่วยเป็นโรคความจำเสื่อมน้อยกว่าคนที่ไม่ดื่มกาแฟ
โดยดื่มกาแฟ 3-5 ถ้วย/วัน จะมีความเสี่ยงเป็นโรคลดลงประมาณร้อยละ 65
ในขณะที่มีการศึกษาระยะยาวแบบโคฮอร์ตเป็นเวลา 10 ปีในสหรัฐอเมริกา เพื่อศึกษาการดื่มกาแฟกับความเสี่ยงเกิดโรคพาร์คินสัน มีอาสาสมัครชายหญิงรวมถึง 135,916 คน พบว่าฤทธิ์ของกาเฟอีนมีผลทำให้ระดับสารสื่อประสาทโดพามีน (dopamine) ในสมองเพิ่มขึ้น
ทำให้สมองตื่นตัวป้องกันการเป็นโรคพาร์คินสันได้ทั้งในหญิงและชายโดยดื่มกาแฟวันละ 1-3 ถ้วย
ข้อพึงระวังสำหรับสตรีก็คือ ต้องไม่ดื่มกาแฟร่วมกับฮอร์โมนเอสโตรเจนเพราะไม่เกิดผลเชิงบวกกรณีการป้องกันโรคพาร์คินสันเลย
นอกจากนี้ เด็ก สตรีมีครรภ์ ผู้ป่วยโรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูงไม่ควรดื่มกาแฟเลยเพราะมีโทษมาก รวมถึงไม่ควรดื่มกาแฟร่วมกับการรับประทานอาหารและยาเสริมธาตุเหล็ก สังกะสี แคลเซียม หรือยาแก้ปวดแก้ไข้ สำหรับปริมาณการดื่มกาแฟไม่เติมน้ำตาลต่อวันไม่ควรเกิน 1-2 ถ้วย (ถ้วยละ 150 ซีซี มีกาเฟอีนเฉลี่ย 115 ม.ก./ถ้วย) และควรดื่มกาแฟสดแบบกรอง จึงจะเกิดประโยชน์ทางยาสูงสุด เพราะถ้าบริโภคมากกว่านี้หรือดื่มกาแฟชนิดอื่นจะเกิดโทษมากกว่าคุณ
ท่านผู้อยู่ในวัย 50 ต้นๆ ทุกเช้าควรดื่มกาแฟสดกรองเพียง 1 ถ้วยเป็นประจำ เพื่อเตรียมตัวใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพในสังคมผู้สูงอายุอย่างเป็นสุขปลอดพ้น จากภาวะระบบประสาทเสื่อมตราบเท่าอายุขัย
อ้างอิงจาก http://women.sanook.com/36777/

10 พฤติกรรมทำให้ยิ่งกินเยอะ


1. ไม่ทานข้าวเช้า

การไม่ทานข้าวเช้า ดูเหมือนจะเป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยลดแคลอรี่ในแต่ละวันได้ แต่พอมื้อถัดไปอย่างมื้อเที่ยง คุณจะยิ่งหิวและอยากกินมากเข้าไปใหญ่ ถ้าคุณไม่มีเวลาเตรียมเมนูอาหารที่ดีต่อสุขภาพในช่วงเช้า ขอแนะนำให้เตรียมอาหารไว้ล่วงหน้าก่อนเลย จะได้ไม่ต้องพลาดอาหารเช้า แล้วมาหิวยิ่งขึ้นในมื้อถัดไปอีก
2. ทานหน้าจอ
การนั่งทานอาหารหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือหน้าจอโทรทัศน์ จะยิ่งทำให้คุณกินมากเข้าไปอีก เพราะการดูโทรทัศน์และการทานอาหารนั้นเป็นกิจกรรมที่ไม่สัมพันธ์กัน เมื่อจิตใจของคุณกำลังหมกมุ่นกับรายการโทรทัศน์หรือการเปิดเว็บไซต์ คุณจะแทบไม่มีเวลาจดจ่อกับอาหาร ถ้าจะทานอาหารก็ให้ทานแค่อย่างเดียว อย่าทำอย่างอื่นไปด้วย
3. ไม่ควบคุมปริมาณอาหาร
ไม่ว่าคุณจะกำลังพยายามลดน้ำหนักด้วยวิธีไหนก็ตาม สิ่งสำคัญ คือ ทานให้เพียงพอกับความต้องการ ทานให้พออิ่ม แต่ควบคุมตนเองอย่าให้ทานมากเกินไปด้วย เช่น หากต้องการทานพิซซ่า ก็ให้สัญญากับตัวเองว่าทานแค่ 1 ชิ้นก็พอ อย่าปล่อยตัวเองให้ทานชิ้นที่สองเด็ดขาด
4. สับสนระหว่างความหิวกับความกระหาย
หลายคนสับสนระหว่างความรู้สึกหิว กับ กระหาย ถ้าคุณเพิ่งทานอาหารเสร็จ แต่รู้สึกว่ายังทานไม่พอ Mara Z. Vitolins ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านสาธารณสุขศาสตร์ได้ให้ความเห็นว่า “ยากที่จะแยกระหว่างความรู้สึกหิวกับความรู้สึกกระหาย ถ้าหากคุณแยกไม่ออก ให้ลองดื่มน้ำเปล่า จากนั้นรอประมาณ 20-30 นาที เพื่อดูว่าคุณยังรู้สึกหิวอยู่หรือไม่…”
5. ทานสิ่งที่คนอื่นอยากทาน
หากคนใกล้ตัวคุณไม่ได้ใส่ใจเรื่องการลดน้ำหนัก การควบคุมอาหาร และยังทานมากเกินไปอยู่ ก็อาจจะยากหน่อยที่คุณจะบังคับตัวเองให้ทานอาหารหรือควบคุมอาหารตามเป้าหมายได้ คำแนะนำ คือ ลองใช้ส่วนผสมต่างๆ ของเมนูอย่างเดียวกับคนที่บ้านก็ได้ แต่ให้เปลี่ยนเป็นเมนูอื่นแทน ที่ดีต่อสุขภาพมากกว่า
6. จานและถ้วยของคุณใหญ่เกินไป
ทราบหรือไม่ว่าขนาดของจานหรือถ้วยที่คุณใช้ทานอาหารนั้น สามารถทำให้คุณทานเยอะเกินไปได้ด้วย นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Cornell เปิดเผยว่า ขนาดจานที่ดูใหญ่ จะทำให้ปริมาณอาหารที่คุณทานดูเล็กลงกว่าปกติ เมื่ออาหารดูเล็กหรือน้อยลง ก็อาจกระตุ้นให้คุณอยากทานมากขึ้นได้ง่าย ดังนั้นแทนที่จะใช้จานขนาดใหญ่ ลองเปลี่ยนใช้จานขนาดเล็กแทนจะดีกว่า
7. รู้สึกผิดเมื่อ
หลายคนอาจคิดว่า หากรู้สึกผิดเมื่อทานมาก ครั้งต่อไปคุณจะทานน้อยลงไปเอง บอกได้เลยว่านั่นเป็นความเชื่อที่ผิด เพราะยิ่งคุณรู้สึกผิด ครั้งต่อไปคุณก็จะยิ่งเครียด และยิ่งทานอาหารมากขึ้นไปอีกต่างหาก
8. ไม่ทานของว่างเลย
หลายคนเชื่อว่าการทานของว่างนั้นไม่ดี และยังเชื่อด้วยว่าของว่างทุกชนิดนั้นไม่มีประโยชน์ แต่ความจริงแล้วของว่างหลายชนิดนั้นมีประโยชน์ต่อร่างกายและยังทำให้คุณบรรลุเป้าหายในการมีสุขภาพที่ดีได้อีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น ของว่าง จะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายมีพลังงานมากขึ้นก่อนและหลังการออกกำลังกาย นอกจากนี้การทานของว่างที่มีประโยชน์ ระหว่างมื้ออาหารหนัก ยังช่วยลดพฤติกรรมการกินเยอะเกินไปอีกด้วย
9. ทานอาหารมากไปหลังออกกำลังกาย
หลังจากคุณออกกำลังอย่างหนัก ห้ามใช้การออกกำลังเป็นข้ออ้างในการยอมให้ตัวเองทานเยอะเด็ดขาด ของว่างที่คุณทานหลังออกกำลังกายไม่ควรมีพลังงานเกิน 150 แคลอรี่
10. ทานอาหารเพื่อระงับความเครียด
หลายคนทานเยอะขึ้นเพราะต้องการระงับความเครียด เข้าทำนองยิ่งเครียดก็ยิ่งกิน แถมยิ่งกินก็ยิ่งเครียดเข้าไปอีก การทำแบบนี้คุณจะยิ่งทานเยอะขึ้น แถมยิ่งอ้วนขึ้น ดังนั้น ให้จำไว้เสมอว่า ให้กินเฉพาะเวลาหิว อย่ากินแค่เพราะต้องการคลายเครียด
อ้างอิงจาก http://women.sanook.com/36869/

“แน่นอก” ต้องระวัง! สัญญาณร้ายเตือนภัยหัวใจวาย

นพ.ทวีศักดิ์ โชติวัฒนพงษ์ ศัลยแพทย์โรคหัวใจและทรวงอก โรงพยาบาลเวชธานี กล่าวว่า การเจ็บแน่นหน้าอกระหว่างออกกำลังกาย อาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ซึ่งจะมีอาการเจ็บแน่นบริเวณหน้าอกหรือเหนื่อยง่าย บางรายอาจเป็นแบบฉับพลันและรุนแรงจนทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายหรือที่เรียกว่าหัวใจวาย ผู้ป่วยมีโอกาสเสียชีวิตสูงหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีและเหมาะสม ทั้งนี้ ในประเทศไทยมีอัตราการเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดประมาณปีละ 37,000 ราย
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบมีการรักษาหลายรูปแบบ ทั้งการให้ยา การทำบอลลูนขยายหลอดเลือด หรือการผ่าตัดที่มีความปลอดภัยขึ้นมากเมื่อเทียบกับช่วง 10 ปีก่อน เพื่อประสิทธิภาพที่ดีในการรักษา คนไข้ต้องดูแลสุขภาพของตนเองควบคู่กันไป เช่น การรับประทานยา ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด รวมทั้งการออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ และงดเว้นพฤติกรรมเสี่ยง อาทิ การสูบบุหรี่ ดื่มสุรา เป็นต้น
อ้างอิงจาก http://women.sanook.com/36909/

วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ดวงตานั้นสำคัญไฉน

ถนอมคู่สวยให้ดูอ่อนเยาว์
นอกจากดวงตาจะเป็นหน้าต่างของหัวใจแล้ว ยังเป็นสัญญาณที่แสดงออกถึงความอ่อนล้าและความโรยราได้ชัดเจนที่สุด ดังนั้นเรามาถนอมดวงตาคู่สวยให้ดูอ่อนเยาว์เฉกเช่นเดียวกับการดูแลผิวกายและผิวหน้าให้สดใสกันดีกว่า
ดวงตาถือเป็นอวัยวะสำคัญที่มีบทบาทและมีคุณค่ามาก เรียกว่ากว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของสิ่งที่เราเรียนรู้ในชีวิต ล้วนมาจากการมองเห็นทั้งสิ้น การมองเห็นที่ชัดเจนจึงเป็นสิ่งจำเป็นในการดำเนินชีวิต สายตาปกติเป็นผลของการที่แสงโฟกัสผ่านกระจกตา และเลนส์แก้วตา ลงพอดีที่จอประสาทตา แต่ถ้ากำลังการรวมแสงของตาไม่พอดีกับความยาวลูกตา จะเป็นผลทำให้การรวมแสงของตาตกไม่พอดีที่จอประสาทตา จึงเกิดภาวะสายตาผิดปกติได้
สาเหตุที่ทำให้เกิดอันตรายต่อดวงตา
หลายสาเหตุในชีวิตประจำวันของเราส่งผลทำให้เกิดอันตรายต่อดวงตาได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการนั่งจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ จอโทรทัศน์ หรืออ่านหนังสือเป็นเวลานาน ทำให้ปวดตา เนื่องจากกล้ามเนื้อตาล้า หรือการเผชิญกับแสงแดดและแสงไฟจากอุปกรณ์ส่องสว่างมากเกินไป ก็อาจทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคทางตาได้สูงกว่าปกติ เช่น โรคต้อเนื้อ ต้อกระจกบางชนิด และโรคจอประสาทตาเสื่อม
นอกจากนี้ หากดวงตาสัมผัสโดนสารปนเปื้อนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นฝุ่น ควัน การใช้เครื่องสำอาง หรือสารเคมีในสระว่ายน้ำ อาจทำให้เกิดการระคายเคืองตา และมีอาการพร่ามัวได้ เช่นเดียวกับการใส่คอนแทคเลนส์ที่สกปรก หรือใส่ขณะนอนหลับ จะทำให้กระจกตาได้รับออกซิเจนน้อยลง เนื่องจากเปลือกตาปิด ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงในการติดเชื้อมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น การพักผ่อนไม่เพียงพอ ทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ สูบบุหรี่จัด รวมถึงกรรมพันธุ์ ส่งผลต่อโรคทางดวงตาได้ทั้งสิ้น โดยผู้ที่ได้รับถ่ายทอดทางพันธุกรรมส่วนใหญ่มักจะแสดงอาการของโรคให้เห็นเมื่ออายุประมาณ 60 ปีขึ้นไป
จะเห็นว่าหลายๆ ปัจจัยเสี่ยงเป็นสิ่งที่เราไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ดังนั้น เราจึงต้องรู้จักวิธีการดูแลรักษาและอยู่กับสิ่งเหล่านั้น โดยปลอดภัยต่อดวงตาของเรามากที่สุด
1. ควรพักสายตาจากการเพ่งมองหน้าจอต่างๆ ทุกๆ 20 นาที โดยหันไปมองสิ่งอื่น หรือที่ไกลๆซักประมาณ 20 วินาที จะช่วยป้องกันอาการปวดตา ตาล้า และตาแห้งได้ รวมทั้งการวางตำแหน่งคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสม ตรง 10-20 องศาใต้ระดับสายตา รวมทั้งจัดแสงไฟภายในห้องให้พอดี เพื่อลดแสงสะท้อนและความไม่สบายตา
2. หากต้องสัมผัสแสงแดดจ้า แนะนำให้ใส่แว่นกันแดดทุกครั้ง โดยเฉพาะช่วงเวลา 10.00-14.00 น. เนื่องจากเป็น ช่วงที่รังสีอัลตราไวโอเลตมีความรุนแรงมากที่สุด ซึ่งเลนส์แว่นกันแดดต้องสามารถป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลตได้ โดยเลนส์สีเทาจะทำให้เห็นภาพได้ใกล้เคียงธรรมชาติมากที่สุด
3. พยายามหลีกเลี่ยงสิ่งที่จะทำให้ดวงตาระคายเคือง แต่หากสัมผัสไปโดน ควรล้างตาในน้ำสะอาด ไม่ควรใช้น้ำยา ล้างตา เนื่องจากดวงตาของเราผลิตน้ำตาตามธรรมชาติ เพื่อป้องกันและชะล้างสิ่งเหล่านี้ออกอยู่แล้ว หากใช้น้ำยาล้างตาอย่างต่อเนื่องจะทำให้ดวงตาสูญเสียสิ่งเหล่านี้ไป
4. พักผ่อนให้เพียงพอ และทานผักผลไม้ที่เป็นประโยชน์ เน้นอาหารที่มีวิตามินเอ หรืออาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระประเภทลูทีน ซีแซนทีน จากพืชผักผลไม้ที่มีสีเขียวเข้มและสีเหลืองเช่น ผักคะน้า ผักปวยเล้ง ผักโขมและข้าวโพด ผลบลูเบอร์รี่ ซึ่งจะช่วยลดอันตรายจากอนุมูลอิสระในแสงแดดที่ทำลายจอตา และช่วยลดปัญหาตาบอดจากจอประสาทตาเสื่อมได้
สิ่งสุดท้ายที่สำคัญ แต่หลายๆคนอาจมองข้าม นั่นคือ การดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ ซึ่งจะช่วยรักษาความชุมชื้นให้ดวงตา อาจเลือกน้ำแร่ธรรมชาติ 100 เปอร์เซนต์ที่ผ่านการกรองทางธรรมชาติ ซึ่งอุดมไปด้วยแร่ธาตุธรรมชาติที่มีประโยชน์หลายชนิด ที่สำคัญอย่าลืมไปตรวจสุขภาพตาทุกปี เพื่อถนอมดวงตาคู่สวยให้อยู่กับเราไปยาวนาน
อ้างอิงจาก http://women.sanook.com/36965/

วัยรุ่น - วัยทำงานควรทานอะไร?

คำกล่าวที่ว่า You are what you eat? หรือ คุณกินอะไร คุณก็ได้อย่างนั้น ไม่ใช่คำกล่าวที่เกินจริง
มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยการกิน ไม่ว่าจะกินเพื่ออยู่ หรืออยู่เพื่อกิน การกินก็ยังเป็นสิ่งจำเป็น แต่การกินถ้าอยากจะให้ได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนบางทีการทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ในแต่ละมื้ออาจเป็นเรื่องที่ยากเกินไป แต่ถ้าทำได้ผลตอบแทนที่ได้รับมาคือที่ดีวัยที่เหมาะกับการกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ถ้าพูดกันตามจริงก็คือทุกวัย ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงชราทุกคนควรจะได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน แม้วัยรุ่น หรือวัยทำงานซึ่งเป็นวัยที่อยู่ในช่วงสุขภาพร่างกายสมบูรณ์ก็ยังต้องการการกินอาหารให้ครบ 5 หมู่เช่นกัน
อาหารแบบไหนเหมาะกับวัยอย่างเรา
วัยทำงาน เป็นวัยที่ใช้สมองเยอะมาก ฉะนั้นจึงควรกินอาหารประเภทที่บำรุงสมองและระบบประสาท อาหารเสริมที่สำคัญจึงควรเป็นกลูโคส ซึ่งหาได้จากอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตและสารอาหารสำคัญที่ช่วยเปลี่ยนคาร์โบไฮเดรตให้เป็นกลูโคส ได้แก่ วิตามินบีต่างๆ รวมทั้งเสริมด้วยวิตามินบี 1 ที่พบมากในธัญพืชจำพวกข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ รำข้าว ถั่วต่างๆ งา ข้าวโพด ข้าวโอ๊ต กะหล่ำปลี แครอท ถั่วงอก คะน้า ผักกาดหอม มะเขือ มะเขือเทศ กระเจี๊ยบ ผัก และผลไม้ทุกชนิด
นอกจากนี้ยังควรเลือกกินปลาแทนเนื้อสัตว์ใหญ่ เพราะมีกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย โดยเฉพาะน้ำมันปลา ซึ่งมีสารอาหารที่สำคัญช่วยบำรุงประสาทอย่าง OMEGA3 ช่วยให้ระบบการทำงานของสมองดีขึ้น ทั้งยังช่วยลดความเครียดและอารมณ์ซึมเศร้าได้ด้วย
เครียดทั้งทีกินอะไรดีวัยรุ่น
ถ้าเครียดมากๆ ในแต่ละวันเราควรกินอะไร ดื่มกาแฟ? หรือขนมขบเคี้ยว? ลืมไปได้เลยเพราะนอกจากจะไม่ช่วยอะไร (นอกจากช่วยให้อิ่ม) ยังเต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ การจัดการความเครียดของคนวัยทำงานควรกินผลไม้สดระหว่างวัน เช่น ส้ม ฝรั่ง สับปะรด หรือจะคั้นทำเป็นเครื่องดื่มยามว่างแทนก็ได้ เพราะเอนไซม์จากน้ำผลไม้สดจะช่วยเรียกความสดชื่นกระปรี้กระเปร่าให้ร่างกาย
นอนไม่หลับทำอย่างไร
ปัญหาการนอนไม่หลับใช้วิธีนับ Like ใน Facebook ก่อนนอนไม่น่าจะได้ผล แต่ถ้านอนไม่หลับจริงๆ แนะนำให้ทานกล้วย เพราะผลไม้ชนิดนี้อุดมไปด้วยแมกนีเซียมกับโปแตสเซียม (Potassium) ที่ไม่ใช่แค่ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ แต่ยังมีทริปโตเฟน (Tryptophan) หนึ่งใน 20 กรดอะมิโนจำเป็นสำหรับมนุษย์ ซึ่งเปลี่ยนเป็นเซโรโทนิน (Serotonin) หรือสารสื่อประสาท ที่ทำหน้าที่ การควบคุมความหิว อารมณ์ และความโกรธ และเมลาโทนิน ฮอร์โมนที่ช่วยให้สมองผ่อนคลายทำงานได้ดี แต่ทานเยอะไปก็อิ่มเกินอาจจุกและนอนลำบากนิดนึง
บ๊าย บาย แอลกอฮอล์
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆ ต่อร่างกาย คนวัยทำงานอยู่ในช่วงวัยที่รักการสังสรรค์ หากลด ละ เลิก แอลกอฮอล์ได้ชีวิตจะดีขึ้น เพราะเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ถ้าดื่มจนติดแล้วจะทำให้ร่างกายขาดวิตามิน และแร่ธาตุต่างๆ รวมทั้งอาจจะเป็นโรคตับแข็งเป็นของแถม เลิกได้เลิกเถอะ
ถ้าอยากจะมีสุขภาพที่ดี กินอาหารครบ 5 หมู่ และอาหารที่ดีต่อสุขภาพอย่างเดียวคงไม่พอต้องออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย นอกเหนือจากสุขภาพที่ดีแล้ว เรายังได้ร่างกายที่มีหุ่นเท่ๆ เชปเป๊ะๆ ไว้อวดเพศตรงข้ามด้วยนะ
Health Survey
- หากวัยรุ่นชายอยากแก่ช้าควรได้รับแร่ธาตุสังกะสี วันละ 10-19 มิลลิกรัม เพราะมีส่วนช่วยให้ร่างกายเสริมสร้างฮอร์โมนเพศชาย ทำให้ยังคงความหนุ่ม ไม่แก่ก่อนวัยอันควร
- อาหารหลักที่วัยรุ่นควรกินคือ ข้าวสลับกับอาหารประเภทแป้งเป็นบางมื้อ หากเป็นไปได้ ควรกินข้าวกล้อง หรือข้าวซ้อมมือ ควบคู่ไปกับอาหารประเภทแป้ง และควรกินวันละ 8-12 ทัพพี - นมเป็นเครื่องดื่มที่เหมาะสมกับทุกวัย และคนวัยทำงานควรดื่นนมในปริมาณ 1-2 แก้วต่อวัน เพื่อสุขภาพที่ดี
- ควรกินเนื้อปลา เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ไข่ และ ถั่วเมล็ดแห้งเป็นประจำ เพื่อได้รับสารอาหารที่เป็นโปรตีน จำนวนการกินต่อวันคือ 6-12 ช้อน-โต๊ะ ส่วนไข่ควรกินสัปดาห์ละ 2-3 ฟอง
- ถึงจะยังไม่แก่ แต่วัยทำงานก็ควรกินอาหารบำรุงกระดูก โดยเน้นอาหารที่มีแคลเซียม เพราะเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อสุขภาพร่างกายและกระดูก หากร่างกายขาดแคลเซียมก็จะทำให้กระดูกเปราะเกิดโรคกระดูกพรุน เราสามารถเติมแคลเซียมให้กับกระดูก โดยหาได้จากอาหารที่ทำจากนมทุกชนิด และในปลาตัวเล็กที่กินได้ทั้งตัวก็มีแคลเซียมจากก้างปลา
- ศัตรูของสาวๆ และหนุ่มๆ ที่รักผิวพรรณ ก็คือแสงแดด เพราะแสงแดดนอกจากทำอันตรายต่อผิวแล้วยังทำให้เกิดสิว ฝ้า และกระได้ ทำให้ผิวขาวใสดูหมองคล้ำ จึงควรกินอาหารที่ช่วยบำรุงผิว เช่น หัวผักกาด หัวหอม มะเขือเทศ ใบขึ้นฉ่าย กะหล่ำดอก สำหรับคนผิวมันควรงดอาหารจำพวกไขมัน และเน้นผักผลไม้แทน
DID YOU KNOW? คนวัยทำงานมีปัญหาสุขภาพอะไรบ้าง
- เหนื่อยง่าย หมดแรงโดยไม่ทราบสาเหตุ
- อ่อนเพลียง่าย พักผ่อนแล้วก็ไม่ดีขึ้น
- ซึมเศร้าเป็นครั้งคราว
- ปวดศีรษะเป็นครั้งคราว
- กินอาหารต่อวันไม่ครบ 5 หมู่
- ไม่มีเวลากินอาหารเช้า
- ไม่มีโอกาสกินผักหรือผลไม้เป็นประจำทุกวัน
- ต้องทำงานหนัก และนอนดึก
- ไม่มีเวลาออกกำลังกาย
- ไม่มีเวลาไปพบแพทย์ และไม่อยากไปพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพ FYI 1,000 มิลลิกรัม คือจำนวนของวิตามินซีที่วัยทำงานควรได้รับต่อวัน 2,000 Kcal คือจำนวนพลังงานที่วัยทำงานใช้ต่อวันถ้าไม่อยากอ้วนอย่ากินอาหารมากกว่านี้
อ้างอิงจาก http://women.sanook.com/36977/

5 อาหารเช้าที่แย่ที่สุด

มาเช็คดูสิว่า มื้อเช้าของคุณ มีเมนูอาหารเหล่านี้อยู่ในลิสต์หรือเปล่า ถ้ามีจงหยุดซะ!
1. หมูติดมันทอดกรอบ
ปัจจุบันนี้หันไปทางไหนก็เจอร้านหมูติดมันทอดกรอบ ๆ ขายริมทางคู่กับข้าวเหนียวมากมาย แถมราคาก็ไม่แพง จึงเป็นที่นิยมกันอย่างมาก จริง ๆ แล้วหมูติดมันทอดกรอบพวกนี้ไม่ใช่อาหารที่อันตรายหากทานไม่บ่อย แต่อย่าทานบ่อยแล้วกันเพราะมีน้ำมันและไขมันเยอะ ทำให้ส่งผลเสียต่อสุขภาพในอนาคตได้
2. แท่งธัญพืช
แน่นอนว่าธัญพืชเป็นอาหารที่มีประโยชน์ แต่แท่งธัญพืชเป็นอาหารที่ได้รับการแปรรูปจากผู้ผลิตมาแล้ว หลายครั้งผู้ผลิตใส่น้ำตาลมากเกินไป ถ้าทานบ่อยนอกจากส่งผลเสียต่อสุขภาพแล้วยังทำให้อ้วนอีกด้วย
3. ปาท่องโก๋จิ้มนมข้นหวาน
ปาท่องโก๋เป็นอาหารโปรดยามเช้าของคนไทย หลายบ้านให้ลูกทานปาท่องโก๋คู่กับนมข้นหวาน แต่อย่าให้ทานบ่อยแล้วกันค่ะเพราะส่วนมากปาท่องโก๋ทำจากแป้งขัดขาว เป็นชนิดของแป้งที่เปลี่ยนเป็นน้ำตาลและเข้าสู่กระแสเลือดได้ไว แถมปาท่องโก๋นั้นทำด้วยวิธีทอดในน้ำมันกระทะใหญ่ ยิ่งส่งผลเสียเข้าไปอีก
4. หมูปิ้ง
จริงๆ แล้วการทานหมูปิ้งคู่กับข้าวเหนียวไม่ใช่มื้อเช้าที่เลวร้าย แต่โดยมากหมูปิ้งที่ขายกันอยู่มักมีส่วนที่ไหม้เยอะหากอยากทานพยายามหาร้านที่หมูไม่ไหม้มาก หรือพยายามตัดเอาส่วนที่ไหม้ออก จะได้ลดความเสี่ยงมะเร็งกันนะคะ
5. ขนมครก
ขนมครกเป็นอาหารโปรดยามเช้าของคนไทย บางบ้านให้ลูกทานขนมครกคู่กับนมหรือเครื่องดื่มร้อน แต่อย่าลืมว่าขนมครกนั้นเป็นของหวาน เพราะฉะนั้นหากทานแป็นย่อมได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วน ถ้าจะทานควรทานเป็นของว่างในปริมาณไม่มากดีกว่า
อ้างอิงจาก http://women.sanook.com/37037/

เลือกทานแก้นิสัยเสียของเราได้

เชื่อหรือไม่ว่า อาหารที่เรารับประทานกันอยู่ทุกวันนี้ นอกจะช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตของร่างกายแล้ว ยังมีผลต่ออุปนิสัยใจคอของเราอีกด้วย
จากการวิจัยของแพทย์ได้ผลว่า อาหารที่เราทานมีอิทธิพลต่ออารมณ์อันไม่พึงประสงค์ของเรา ไม่ว่าจะจู้จี้ขี้บ่น หงุดหงิดง่าย ขี้กลัว แปรปรวน เบื้องหลังของนิสัยเหล่านี้ส่วนหนึ่งมาจากร่างกายขาดสารอาหารบางอย่างไปนั่นเอง
คนที่มีอารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดโมโหง่าย มักจะขาดแคลเซียม ยิ่งถ้าขาดมากๆ จะมีอาการเกรี้ยวกราดร่วมด้วย วิธีแก้ก็คือ เติมแคลเซียมเข้าไป โดยการรับประทานอาหารที่มีแคลเซียม เช่น นม ปลาตัวเล็กที่รับประทานก้างได้ เป็นต้น
สำหรับคนที่ขาดวิตามินบี มักจู้จี้ขี้บ่นเกินวัย ควรรับประทานอาหารจำพวกข้าวซ้อมมือ ไข่ ตับ ถั่วเหลือง กล้วยน้ำว้า เป็นต้น
ส่วนคนที่ขี้กลัว ไม่ค่อยกล้าแสดงออกในเรื่องที่ถูกต้อง เนื่องมาจากขาดวิตามินซีและเอที่พบมากในผัก ผลไม้ต่างๆ สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะสารอาหารและแร่ธาติดังกล่าวมีผลต่อระบบการทำงานของสมองที่มีหน้าที่หลั่งสารแห่งความสุขออกมานั่นเอง
สิ่งเหล่านี้เป็นการย้ำว่าสารอาหารที่ครบถ้วนสำคัญต่อมนุษย์มากเพียงใด และคำว่า “you are what you eat” ยังใช้ได้อยู่เสมอจริงๆ หาตัวตนของคุณ ว่าเป็นคนที่มีนิสัยเสียอะไรบ้าง แล้วรับประทานอาหารเพื่อจะได้ช่วยยับยั้งไม่ให้คนใกล้ตัวยี๊คุณ
อ้างอิงจาก http://women.sanook.com/37217/

ทับทิม คุณค่ามหาศาล

"" คุณค่ามหาศาล
คอลัมน์ เครื่องแนม
เคยมีคนตั้งข้อสังเกตว่า เวลาอากาศร้อนๆ นักท่องเที่ยวจีนที่มาเที่ยวเมืองไทยจะเลือกดื่มน้ำทับทิม ขณะที่คนไทยจะเลือกชาเขียวพร้อมดื่ม สร้างความสดชื่น แล้วยังได้ลุ้นโชคอีกต่อหนึ่ง (ฮา)
จริงๆ แล้ว ทับทิมเป็นผลไม้ที่ให้ประโยชน์มหาศาล ถึงขนาดรายงานของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ที่สหรัฐอเมริกา จัดให้น้ำทับทิมเป็นสุดยอดของน้ำผลไม้เพื่อสุขภาพ
ดร.ณัฐพล ตั้งสุภูมิ สถาบันวิจัยโภชนาการ ม.มหิดล อธิบายว่า น้ำทับทิมมีปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระมากเกือบ 3 เท่า ของชาเขียวและไวน์แดงในปริมาณที่เท่ากัน
นอกจากนี้ น้ำทับทิมยังเป็นแหล่งที่ดีของวิตามินซี, วิตามินบี 5 และโพแทสเซียม
ซ้ำมีงานวิจัยบอกว่า ดื่มน้ำทับทิมเป็นประจำช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด ลดความดันโลหิต ต่อต้านเชื้อแบคทีเรียและการติดเชื้อจากไวรัส ลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก ลูคีเมีย เบาหวาน ไปจนถึงลดการสร้างเม็ดสีใต้ผิวหนัง บราบราบรา เอ๊ย บลาบลาบลา
อย่างไรก็ตาม น้ำทับทิมในท้องตลาดมีปริมาณน้ำตาล 11 -12% ซึ่งนับว่าสูงทีเดียว เปลี่ยนไปดื่มน้ำทับทิมสดน่าจะเวิร์กสุด
อ้างอิงจาก http://women.sanook.com/37337/

เตือน! กิน”เกลือ”มาก ทำอ้วน-ลงพุง

ผศ.ฉัตรภา หัตถโกศล อาจารย์ประจำภาควิชาโภชนวิทยา คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยถึงสาเหตุของโรคอ้วนที่สัมพันธ์กับการว่า จากการศึกษาพบว่ารสเค็มจะกระตุ้นการผลิตสารโดปามีน ซึ่งทำให้รู้สึกมีความสุข ผู้ที่ชอบกินเค็มจึงมักพบว่าเสี่ยงต่อการเกิดภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วนได้ง่าย โดยสัญญาณที่บอกว่าจะติดรสเค็ม คือ


1.กินอาหารแปรรูปเป็นประจำ

2.บวม สังเกตจากท้องป่อง หน้าบวม แขนบวม กดแล้วคืนตัว

3.ชอบอาหารรสจัด เช่น กินเผ็ดจัดก็จะกินเค็มตามมา

4.ชอบขนมกรุบกรอบ จำพวกมันฝรั่งทอด ถั่วทอด

5.ชอบเติมเครื่องปรุงหรือซอส และ

6.ตรวจพบภาวะโซเดียมในเลือดสูง คอแห้ง กระหายน้ำ ปวดศีรษะ หงุดหงิด ความดันสูง ฯลฯ

ผศ.ฉัตรภากล่าวว่า วิธีปรับเปลี่ยนพฤติกรรมลดกินเค็ม คือ เลือกกินอาหารสดจากธรรมชาติ เน้นผัก ผลไม้สด ลดกินอาหารแปรรูป อ่านฉลากโภชนาการ กินน้ำเปล่าแทนน้ำหวานหรือน้ำผลไม้ ชิมรสชาติอาหารก่อนปรุง ตั้งเป้ากินเพื่อลดความเค็ม ทั้งนี้ การได้รับโซเดียมสูงในระยะยาวเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด ภาวะกระดูกผุ และโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร หากลดเค็มต้องเริ่มทีละขั้นตอนช้าๆ เพื่อให้ร่างกายได้ปรับเปลี่ยนและเกิดความเคยชินจะได้ผลในระยะยาว
อ้างอิงจาก http://women.sanook.com/37489/

ว่ายน้ำได้ไหม? ... ในวันนั้น(ของเดือน)

ได้ไหม? ... ในวันนั้น(ของเดือน)
คอลัมน์ คุยกับหมอพิณ โดย พ.ญ.พิณนภางค์ ศรีพหล
คอลัมน์ คุยกับหมอพิณ
พ.ญ.พิณนภางค์ ศรีพหล
email:doctorpin111@gmail.com
สวัสดีค่ะ เป็นผู้หญิงแท้จริงแสนลำบากนะคะ เพราะหญิงแท้ (ส่วนใหญ่ ช่วงวัยเจริญพันธุ์) จะต้องมี "วันนั้น" ของเดือน จะทำอะไรก็ไม่คล่องตัว ต้องเตรียมผ้าอนามัย ใส่เสื้อผ้าสีเข้มขึ้น (กันพลาด เรื่องราดๆ เล็ดๆ) กิจกรรมต่างๆ ก็อาจจะทำได้ไม่สะดวกนัก แต่ช้าก่อนค่ะ เป็นหญิงแท้จริงในยุคปัจจุบันก็ไม่ได้ลำบากขนาดนั้น วันนั้นของเดือน ไม่ได้เป็นอุปสรรคในกิจกรรมต่างๆ ขนาดนั้นค่ะ
วันก่อนคุยกันเรื่องกิจกรรมบนเตียงกันไปแล้ว วันนี้เราจะมาคุยกันถึง วันนั้นของเดือน กับกิจกรรมทางน้ำค่ะ ไม่ว่าจะเป็นว่ายน้ำ ดำน้ำตื้นดำน้ำลึกนะคะ
"วันนั้นของเดือน สามารถว่ายน้ำได้หรือไม่"
คำตอบคือ ได้ค่ะ โดยเราสามารถใช้ผ้าอนามัยแบบสอดใส่เข้าไปในช่องคลอด ซึ่งผ้าอนามัยแบบสอดจะคอยซึมซับเลือดที่ไหลออกมา ทำให้เลือดไม่เล็ดราดออกมา โดยควรจะเปลี่ยนก่อนลงน้ำ และหลังขึ้นจากน้ำทันที ไม่ควรใส่นานเกิน 8 ชั่วโมงนะคะ
ตอนใส่ไม่ต้องกลัวผ้าอนามัยจะหายวับเข้าไปในร่างหรือจะหลุดแพร่ดออกมาทางสายน้ำ (ขอให้เชื่อมั่นในช่องคลอดสตรีนะคะ ว่ามันคือช่องมหัศจรรย์ค่ะ) เพราะมันมีสายที่ห้อยอยู่ ไว้สำหรับดึงออกค่ะ ดังนั้นตอนว่ายน้ำก็ต้องแต๊บสายให้ดี เก็บสายไว้ในชุดว่ายน้ำ หรือบิกินี่ให้เรียบร้อยนะคะ
"แล้วผ้าอนามัยแบบแผ่นล่ะ ?"
สาวๆ ที่ใส่เสื้อยืดขาสั้นวิ่งลงทะเล ทั้งๆ ที่มีผ้าอนามัยแปะอยู่ ขอบอกไว้เลยค่ะว่า เมื่อคุณๆ วิ่งลงน้ำแล้ว ผ้าอนามัยและแผ่นไยดรายวีฟ มันจะดูดน้ำทะเลมาแทนเลือด ทำให้ใส่ไปก็เท่านั้นค่ะ ไม่สามารถซึมซับเลือดอะไรได้
ส่วนกาวที่แปะระหว่างผ้าอนามัยกับกางเกงใน ก็จะเสื่อมสภาพลง ทำให้ผ้าอนามัยเลื่อนหลุดไปมาได้ ดังนั้น ผ้าอนามัยแบบแผ่น ไม่แนะนำอย่างมากค่ะ
"เคยได้ยินว่าเวลามีประจำเดือน ก็สามารถว่ายน้ำได้ ไม่ต้องใส่ผ้าอนามัยแบบสอดหรือแบบอะไรเลยก็ว่ายน้ำได้ เพราะแรงดันน้ำดันเลือดไม่ให้ออกมา จริงหรือ"
เวลาลงน้ำเลือดประจำเดือนก็สามารถไหลเล็ดออกมาได้เช่นกันค่ะ แต่ในสระหรือในน้ำทะเล น้ำที่ปริมาณมากอาจทำให้เลือดเจือจางจนอาจจะมองไม่เห็นเท่านั้นเอง ดังนั้นถ้าในวันมาน้อย อาจจะพอว่ายได้ แต่ถ้าวันมามาก ถ้าไม่ได้ใส่ผ้าอนามัย ขึ้นจากสระมา เลือดก็จะไหลออกมาอยู่ดีนะคะ และก็ไม่แนะนำ เพราะเรื่องสุขอนามัยของตัวคุณเองและผู้อื่นค่ะ
วันนั้นของเดือนสามารถออกกำลังกายเบาๆ ได้นะคะ ไม่ว่าจะเป็นบนบกหรือในน้ำ ขอให้ดูแลเรื่องสุขอนามัยเป็นหลักเท่านั้นเองค่ะ สวัสดีค่ะ
อ้างอิงจาก http://women.sanook.com/37569/

เวียนศีรษะ บ้านหมุน โคลงเคลง

 บ้านหมุน โคลงเคลง : สัญญาณบ่งชี้ความผิดปกติของอวัยวะการทรงตัว
‘เวียนศีรษะ’ (dizziness) เป็นอาการที่ทุกคนไม่อยากประสบกับตนเอง เป็นคำที่มีความหมายกว้าง อาจหมายถึงมึนเวียนศีรษะ ซึ่งเกิดจากความผิดปกติได้หลากหลายสาเหตุ กับคำว่า เวียนศีรษะแท้ (vertigo) ที่มักจะมีอาการหมุนร่วมด้วย ซึ่งประการหลังนี้เกิดจากความผิดปกติของการทำงานของอวัยวะการทรงตัว

ในที่นี้จะขอกล่าวเพียง เวียนศีรษะแบบหมุน อาจมีความรู้สึกว่าสิ่งแวดล้อมหมุน หรือตัวเองหมุน ร่วมกับอาการโคลงเคลง บางรายเป็นเพียงระยะสั้น ๆ อยู่เพียงไม่กี่วินาทีแล้วหายไป หรือ อาจจะนานเป็นหลายนาทีจนถึงหลายชั่วโมง บางรายจะมีอาการหูอื้อ มีการได้ยินบกพร่อง หรือมีเสียงผิดปกติในหู สาเหตุของความผิดปกตินี้ เกิดได้ตั้งแต่ความผิดปกติของระบบการทรงตัวส่วนปลาย (หูชั้นในและเส้นประสาทการทรงตัว) หรือ ระบบการทรงตัวในระบบประสาทส่วนกลาง
สำหรับอาการเวียนศีรษะบ้านหมุนที่เกิดจากอวัยวะการทรงตัวในหูชั้นในหรือประสาทหู มีโรคพบบ่อย ๆ ได้ดังนี้

หินปูนในหูชั้นในเคลื่อน (Benign paroxysmal position vertigo - BPPV) เป็นโรคที่ก่อให้เกิดอาการเวียนศีรษะที่พบได้บ่อยที่สุด เกิดจากหินทรงตัว (Calcium Carbonate – otolithic crystal) ในหูชั้นในเคลื่อนหลุดออกจากที่อยู่เดิม ทำให้ผู้ป่วยมีอาการเวียนศีรษะเป็นระยะสั้น ๆ ขณะเปลี่ยนท่า เช่น ขณะล้มตัวลงนอน หรือลุกขึ้นนั่ง

น้ำในหูไม่เท่ากัน (Meniere’s disease) เกิดจากความแปรปรวนของน้ำในหูชั้นใน (endolymphatic hydrop)ผู้ป่วยจะมีอาการเวียนศีรษะนานหลายนาทีหรืออาจต่อเนื่องเป็นหลายชั่วโมง อาการจะหายไปแล้วกลับมาเป็นอีกได้ โดยอาจจะห่างเป็นเดือนหรือเป็นปี เมื่อโรคเป็นรุนแรงขึ้นอาการจะเป็นถี่ขึ้น และหูข้างที่มีปัญหาจะได้ยินเสียงน้อยลงเรื่อย ๆ ร่วมกับเสียงผิดปกติในหู

เส้นประสาทการทรงตัวอักเสบ (Vestibular neuritis) เกิดจากการติดเชื้อไวรัสตรงเส้นประสาทการทรงตัว ทำให้สัญญาณประสาทการทรงตัวที่ส่งไปสู่สมองไม่สมดุล ผู้ป่วยจะมีอาการเวียนศีรษะนานหลายวัน โดยไม่มีอาการทางระบบประสาทสมอง หลังจากหายเวียนศีรษะแบบหมุนแล้ว ผู้ป่วยจะมีอาการโคลงเคลง และทรงตัวไม่ดีไปอีกระยะหนึ่ง

เนื้องอกประสาทหู (Acoustic neuroma) ผู้ป่วยจะมีอาการเสียงผิดปกติในหู การได้ยินลดลง ร่วมกับเวียนศีรษะแบบโคลงเคลง ซึ่งเกิดจากการที่มีเนื้องอกจากประสาทหู หากปล่อยไว้นาน ก้อนเนื้องอกจะโตขึ้นเรื่อย ๆ จนสามารถไปกดเส้นประสาทสมองและเนื้อสมองได้

นอกจากนี้ยังมีโรคอื่น ๆ ได้แก่ โรคประสาทหูถูกทำลายจากยา (ototoxicity), โรคประสาทหูดับฉับพลัน (Sudden sensorineural hearing loss) หรือ การเสื่อมถอยของอวัยวะการทรงตัว เป็นต้น

สำหรับขั้นตอนการรักษา ในระยะแรกแพทย์จะทำการรักษาตามอาการ โดยผู้ป่วยที่มีอาการเวียนศีรษะมากร่วมกับอาการคลื่นไส้อาเจียน ควรได้รับการรักษาตามอาการโดยแพทย์ใกล้ตัว หรือแพทย์ประจำตัว เพื่อให้อาการทรมานจากการเวียนศีรษะลดลง และไม่ขาดสารน้ำ ขั้นตอนต่อไป ในรายที่สงสัยว่าสาเหตุน่าจะมาจากความผิดปกติของอวัยวะการทรงตัว แพทย์จะทำการตรวจทดสอบต่าง ๆ เพื่อให้ได้คำวินิจฉัยและวางแผนการรักษา

ในการรักษาจำเพาะต่อโรคชนิดต่าง ๆ ปัจจุบันได้มีการพัฒนาการรักษาขึ้นมากตามลำดับ ตั้งแต่การทำ Canalith Repositioning Maneuver, การผ่าตัด Posterior Semicircular canal occlusion ในรายที่เป็น BPPV, การรักษาโดยการฉีดยาเข้าไปสู่หูชั้นใน (Intratympanic injection) ในรายโรคน้ำในหูชั้นใน หรือโรคหูดับ เป็นต้น

ส่วนขั้นตอนสุดท้ายคือการฟื้นฟู ผู้ป่วยบางรายถึงแม้จะหายเวียนศีรษะแบบฉับพลันแล้ว พยาธิสภาพของโรคยังคงทำให้มีการเสียสมดุลของการทรงตัว มีอาการโคลงเคลงเรื้อรัง จึงทำให้คุณภาพชีวิตด้อยลงไป ในรายเหล่านี้สามารถช่วยได้โดยการฝึกฝนหรือทำกายภาพบำบัด (Rehabilitation) เพื่อให้การทำงานและสมดุลของการทรงตัวดีขึ้น
ผู้ที่สงสัยว่าตนเองอาจมีอาการเข้าข่ายโรคในกลุ่มที่เกี่ยวกับระบบประสาทหู สามารถเข้ารับการตรวจโดยละเอียด ปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่ช่วยในการตรวจวินิจฉัยเฉพาะทาง ตั้งแต่เครื่องมือที่ใช้ตรวจความผิดปกติทั่วไป เช่น เครื่องตรวจการได้ยิน (audiogram) และ เครื่องตรวจภาวะแรงดันของหูชั้นกลาง (tympanogram) จนถึงเครื่องมือที่สามารถตรวจการทำงานของระบบประสาทหูได้ลึกไปถึงระดับก้านสมอง (Auditory brain stem response, ABR) เครื่องทดสอบการทำงานของเซลล์ขนในหูชั้นใน (Otoacoustic emission, OAE) และเครื่องตรวจการได้ยินในระดับก้านสมอง (Auditory steady state response, ASSR)

ส่วนการตรวจระบบประสาทการทรงตัว ทำได้โดย เครื่องมือเฉพาะสำหรับตรวจการทำงานของอวัยวะทรงตัวในหูชั้นใน (Videonystagmography, VN6) เครื่องตรวจแรงดันน้ำในหูชั้นใน (Electrocochleography, ECOG) และเทคโนโลยีใหม่ที่ทางโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์นำมาใช้ในคลินิกเกี่ยวกับผู้มีปัญหาด้านการทรงตัว ที่เรียกว่า Posturography ซึ่งครอบคลุมการทำงานตั้งแต่การตรวจหา การวินิจฉัย และการฟื้นฟูผู้ป่วยที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับการทรงตัว ด้วยระบบการทดสอบ 6 ระดับ ทำให้สามารถวินิจฉัยแยกได้ว่าความผิดปกติของอาการมาจากระบบการทรงตัว สายตา สมอง หรือเกิดจากสาเหตุใด เพื่อการรักษาที่ตรงจุด พร้อมขั้นตอนการฟื้นฟูมากกว่า 20 โปรแกรมตามลำดับอาการ
อาการเวียนศีรษะบ้านหมุน แม้ได้รับการรักษาแล้วผู้ป่วยบางรายก็ยังต้องได้รับการฟื้นฟูในระยะยาว หรือในบางโรคอาจส่งผลเรื้อรังและแสดงอาการมากขึ้นหากไม่ได้รับการรักษา ดังนั้นจึงมีข้อแนะนำให้ผู้ที่เคยมีประวัติการเวียนศีรษะบ้านหมุน โคลงเคลง หรือสงสัยว่าตนเองอาจมีปัญหาเกี่ยวกับการได้ยินและการทรงตัว ควรเข้ารับการตรวจร่างกายและตรวจทดสอบจากแพทย์ เพื่อการรักษาและการฟื้นฟูเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี
อ้างอิงจาก http://women.sanook.com/37641/

รู้ไว้...ห่างไกลโรคไม่ติดต่อ เพชฌฆาตแห่งศตวรรษ 21

รู้ไว้...ห่างไกล เพชฌฆาตแห่งศตวรรษ 21
กลุ่มโรคไม่ติดต่อ หรือ Non-Communicable Diseases (NCDs) เป็นปัญหาทางสุขภาพที่สำคัญมากในยุคปัจจุบัน เป็นกลุ่มโรคที่เป็นสาเหตุการตายอันดับต้น ๆ จนมีการเรียกโรคกลุ่มนี้ว่า "โรคแห่งศตวรรษที่ 21" ในประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตจากโรคไม่ติดต่อราว 71 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมดในประเทศ ซึ่งโรคไม่ติดต่อที่เป็นสาเหตุการตายของคนไทยมากกว่าโรคอื่น ๆ ถึง 3 เท่า คือ โรคหลอดเลือดและหัวใจ ส่วนโรคที่พบมาก 4 อันดับแรกคือ โรคหลอดเลือดและหัวใจ โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง โรคระบบหายใจผิดปกติเรื้อรัง
ในการประชุมวิชาการประจำปีศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก ประจำปี 2558 จึงได้ชูประเด็นนี้เป็นประเด็นหลักในการเสวนาแลกเปลี่ยนระหว่างบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข เพื่อการดูแลรักษาผู้ป่วย รวมทั้งเป็นการเผยแพร่ความรู้เพื่อให้บุคคลทั่วไปได้รู้เท่าทันและป้องกันก่อนจะเกิดโรค
แพทย์หญิงวรรณีนิธิยานันท์อาจารย์ประจำคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลกล่าวว่า กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรังเกิดจาก 3 องค์ประกอบ คือ 1.ความเสื่อม เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติและเปลี่ยนแปลงไปตามวัย เกิดขึ้นกับอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย โดยทั่วไปความเสื่อมไม่ใช่โรค แต่ความเสื่อมที่มากเกินหรือเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจะแสดงออกเป็นโรค 2.พันธุกรรม เป็นสิ่งที่ถ่ายทอดมาจากบิดามารดา หรือเกิดจากการดัดแปลงของสายพันธุกรรมในบุคคลใดบุคคลหนึ่งภายหลัง ซึ่งพันธุกรรมไม่สามารถแก้ไขหรือปรับเปลี่ยนได้ 3.สิ่งแวดล้อม สิ่งรอบตัวที่คนเราสัมผัสหรือใช้ชีวิตอยู่แต่ละวัน
นั่นหมายถึงกลุ่มโรคไม่ติดต่อเป็นโรคที่เกิดจากพฤติกรรมการดำรงชีวิตที่ไม่ถูกต้อง ดังนั้นผู้ที่อยากป้องกันการเกิดโรคไม่ติดต่อต้องเริ่มจากการปรับเปลี่ยนปัจจัยแวดล้อม ปรับพฤติกรรมการบริโภคที่ดีและถูกต้อง มีกิจกรรมการออกแรงอย่างเหมาะสมทุกวัน ไม่ดื่มสุรา ไม่สูบบุหรี่ ไม่เครียด การดำรงชีวิตที่ถูกต้องควรเริ่มตั้งแต่ทารกอยู่ในครรภ์มารดา ต่อเนื่องไปถึงวัยเด็ก วัยรุ่น วัยทำงาน จนถึงวัยสูงอายุ จึงจะทำให้การป้องกันโรคไม่ติดต่อมีประสิทธิภาพสูงสุด
ด้าน นายแพทย์สุริยะ วงศ์คงคาเทพ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า เนื่องจากกลุ่มโรคไม่ติดต่อขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญคือพฤติกรรมของผู้ป่วย ดังนั้นในการรักษาผู้ป่วยโรคกลุ่มนี้ซึ่งทางการแพทย์รักษามีสูตรสำเร็จแบบตายตัวจึงอาจไม่เห็นผล เพราะพฤติกรรมของคนไข้แต่ละคนไม่เหมือนกัน
ยกตัวอย่าง คนไข้โรคเบาหวานแต่ละคนกินอาหารไม่เหมือนกันในปริมาณไม่เท่ากัน หรือแม้แต่คนไข้คนเดิม แต่ละวันก็กินอาหารไม่คงเส้นคงวา แต่แพทย์ให้ยาแบบคงเส้นคงวาในขนาดเท่าเดิม จึงไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ หรือถ้าคนไข้เบาหวานมีอาชีพเป็นกรรมกรต้องใช้แรงงานเยอะ ก็จำเป็นต้องกินอาหารเยอะ แพทย์จะสั่งให้คนไข้กินข้าวไม่เกิน 2 ทัพพีไม่ได้ การรักษาจึงต้องปรับไม่ให้เป็นไปตามสูตรสำเร็จเดิม ๆ ต้องปรับให้สิ่งที่พูดกันในทางวิชาการแพทย์มาเจอกับชีวิตจริงของคนไข้ให้ได้
ดังนั้นการรักษาโรคในกลุ่มโรคไม่ติดต่อ ส่วนใหญ่ตัดสินโดยพฤติกรรมของบุคคล ไม่ใช่ตัดสินโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ คนไข้ต้องมีระบบการดูแลตัวเองที่ดี แพทย์ไม่สามารถสั่งให้คนไข้กลับไปออกกำลังกายได้ หรือสั่งให้ลดอาหารหวาน มัน เค็ม พฤติกรรมเหล่านี้ขึ้นอยู่ที่ตัวบุคคล ส่วนทางการแพทย์ต้องมีระบบบริการปฐมภูมิที่มีประสิทธิภาพ ต้องเข้าใจคนไข้ ส่งเสริมให้คนไข้ใช้ชีวิตอยู่กับความพอดี และสอนให้คนไข้ประเมินตนเองให้เป็น ให้รู้จักสังเกตตนเองโดยไม่ต้องรอมาตรวจที่โรงพยาบาลเพียงอย่างเดียว
เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว คนไข้ต้องปรับพฤติกรรมตัวเอง เพื่อให้การรักษาเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ส่วนคนที่ยังไม่เป็นโรคถ้าปรับพฤติกรรมได้ก็จะลดความเสี่ยงได้อีกเยอะ
อ้างอิงจาก http://women.sanook.com/37689/

เทคนิคแก้นิสัยขี้ลืม

ทุกวันนี้กิจกรรมประจำวันเรามีมากขึ้นกว่าสมัยก่อนเยอะ แล้วยิ่งเทคโนโลยีเข้ามามากขึ้น แน่นอนล่ะว่าเราจะใช้เหล่าสมาร์ทโฟนเป็นตัวช่วยจำในสิ่งต่างๆ เป็นผลให้ตอนนี้เรามักติดนิสัยขี้ลืมขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ใครเป็นปัญหานี้กันอยู่บ้างคะ .. .
วันนี้ W+ มีวิธีแก้นิสัยขี้ลืมมาให้สาวๆ กันค่ะจดบันทึกช่วยจำ

การจดบันทึกในสมุดที่มีวันที่นั้น จะช่วยให้วางแผนเรื่องในชีวิตได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ต้องทำแต่ละวัน แต่ละสัปดาห์ หรือแต่ละเดือน จดข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับวันๆ นั้นที่ต้องทำหรือมีความสำคัญ หรือแม้แต่ความรู้สึกนึกคิด คำคมต่างๆ การจดชะช่วยย้ำให้สมองจำเรื่องราวเหล่านี้ได้ดีขึ้น
หมั่นพูดกับตัวเอง
ไม่ว่าจะต้องทำอะไรบ้างในวันนั้น ก่อนออกจากบ้าน หรือก่อนจะเริ่มกิจกรรมควรเปล่งเสียงออกมาเสมือนพูดกับตัวเอง "ฉันต้องไปซื้อของ แล้วขับรถไปรับแม่ พอตอนเย็นฉันมีนัดทานข้าวกับเพื่อน" ประมาณนี้ การพูดออกมาซ้ำๆ ย้ำๆ กับตัวเองจะทำให้เราจำในสิ่งที่ต้องทำได้อีกทางหนึ่ง
จัดระเบียบการเก็บข้าวของให้เป็นที่
เปลี่ยนนิสัยการวางของแบบไม่เป็นระเบียบ ไม่ใช่ว่าจะวางอะไรก็วางได้เลย ยิ่งจะทำให้ลืมของเหล่านั้นง่ายขึ้น หันมากำหนดการวางของตัวเอง เช่น กุญแจรถวางไว้บนตู้โชว์ ส่วนนาฬิกาวางไว้บนตู้ข้างเตียง ยาประจำตัวก็ไว้ในกระเป๋าใบเล็กที่พกประจำ การจัดระเบียบการเก็บของแบบนี้จะทำให้ไม่ลืมว่าเราเก็บของอะไรไว้ที่ไหนบ้าง
อย่าทำหลายอย่างพร้อมกัน
ลำพังแค่การจำสิ่งๆ หนึ่งก็ยังจะชอบลืมเลย ไม่ต้องไปพูดถึงสำหรับอะไรที่ทำในเวลาเดียวกัน อย่างเช่น เปิดนิตยสารอ่าน พร้อมกับฟังดีเจคลื่นวิทยุ แล้วก็คุยโทรศัพท์กับเพื่อนไปด้วย นั่นจะยิ่งทำให้เราไม่ม่สมาธิต่ออะไรเลยสักอย่าง แล้วก็จะจำอะไรไม่ได้เลย ไม่ว่าจะเป็น ข้อมูลในหนังสือที่เราอ่าน ข่าวทีดีเจเล่าให้ฟัง หรือแม้แต่เรื่องที่เพื่อนคุยกับเราก็ตาม
ทำอะไรให้ช้าลง
หากเราติดนิสัยทำอะไรเร็ว พูดเร็ว ก็จะยิ่งทำให้รายละเอียดของสิ่งเหล่านั้นเบาบางลงไป ยิ่งจะทำให้สมองเก็บเรื่องราวเหล่านั้นไม่ทัน หันมาทำให้ช้าลง ค่อยๆ พูด ค่อยๆ ทำ และใส่ใจในรายละเอียดของแต่ละสิ่งที่ทำ
ทำสุขภาพกาย สุขภาพใจ ให้แข็งแรง
ไม่ว่าจะตั้งแต่การดูแลตัวเองให้ดี ทานอาหารให้ครบหมู่ เน้นอาหารที่อุดมวิตามินซี อี และเบต้าแคโรทีน โดยเฉพาะส้ม องุ่น เบอร์รี ผักสีเขียว ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ให้ร่างกายแข็งแรง ส่งผลให้ถึงสมองและจิตใจที่ดีตามไปด้วย นอกจากนั้นอาจจะหากิจกรมบริหารสมองเสริมเข้าไป อย่างเช่น การเล่นเกมส์ฝึกทักษะ การอ่านหนังสือ การเล่นดนตรี เพราะกิจกรรมเหล่านี้จะช่วยให้สมองได้ออกกำลังด้วย
ตั้งสติ-ทำสมาธิ
สุดท้ายควรหมั่นฝึกนั่งทำสมาธิทุกวัน เพื่อกำหนดจิตใจเราให้นิ่ง ถือเป็นการฝึกสมาธิและช่วยให้การทำสิ่งต่างๆ ของเราชัดเจนและตั้งใจมากขึ้น ส่งผลให้เราจะสามารถจำในสิ่งเหล่านั้นได้ดียิ่งขึ้น
ภาพประกอบจาก http://www.istockphoto.com/
อ้างอิวจาก http://women.sanook.com/37733/

รู้ยัง หลังออกกำลังกายควรทานและไม่ควรทานอาหารอะไร

ช่วงนี้สาวๆ หลายคนเริ่มหันมาดูแล ออกกำลังกายเข้าฟิตเนสกันยกใหญ่ ก็ถือได้ว่าเป็นเรื่องราวดีดีอยู่เหมือนกันนะ แต่สาวๆ รู้ไหมคะ บางครั้งไปออกกำลังเสร็จเกิดหิว หานู้นหานี้กิน เอ้า! สรุปอ้วนขึ้นกว่าเดิมอีก วันนี้ Sanook! Women เลยมีข้อมูลเกี่ยวกับเลือกทานอาหารหลังจากออกกำลังเสร็จมาฝากกันค่ะ
---------------------------------
อาหารที่ควรทานหลังจากออกกำลังกาย
ไข่ : ไข่เพียงใบเล็กๆ นั้นเต็มไปด้วยโปรตีน และมีเพียงแค่ 70 แคลอรี่เท่านั้นแถมยังอยู่ท้องอีกด้วยนะ ไข่จึงเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยในการควบคุมน้ำหนักได้ดีเลยละค่ะ
ขอบคุณภาพประกอบ : http://www.macheesmo.com/soft-boiled-eggs-a-giveaway//

กล้วย : นี้ก็ถือเป็น 1 ตัวเลือกสำหรับสาวๆ ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก เพราะอิ่มสบายอยู่ท้อง กล้วยนั้นมีคุณค่าทางโภชนาการสูง เพราะเต็มไปด้วยโปรตีน, คาร์โบไฮเดรต, ฟอสฟอรัส, ธาตุเหล็ก, วิตามินเอ และแมกนีเซียม นอกจากนั้นคาร์โบไฮเดรตในกล้วยยังสามารถดูดซึมได้อย่างรวดเร็ว ถ้าทานหลังจากออกกำลังกายเสร็จจะช่วยสร้างกล้ามเนื้อและฟื้นฟูร่ายการได้ดีอีกด้วย

ปลาแซลมอน : ในปลาแซลมอนอย่างที่เรารู้ๆ กันว่ามีสารโอเมก้า 3 ซึ่งสารโอเมก้า 3 ในปลาแซลมอนนั้นจะสามารถช่วยสร้างกล้ามเนื้อและเพิ่มประสิทธิ์ภาพในการทำงานของกล้ามเนื้อมากขึ้น และปลาแซลมอนยังดีต่อสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดอีกด้วย
ขอบคุณภาพประกอบ : http://www.recipepublishingnetwork.com/

ถั่วและผลไม้แห้ง : ในถั่วและผลไม้แห้งนั้นอุดมไปด้วยโปรตีนและคาร์โบไฮเดรต ซึ่งถั่วนั้นสามารถทานเป็นขนมทานเล่นหลังออกกำลังกายได้ดี และมีประโยชน์ต่อการสร้างกล้ามเนื้อมากที่สุด
ขอบคุณภาพประกอบ : http://neelywang.com/2012/04/18/bake-raw-vegan-lime-tart/

น้ำเปล่า : หลังจากออกกำลังกายเสร็จ ร่างกายสูญเสียเหงือไป เราจึงควรเรียกความสดชื่นให้กับผิวและร่างกายโดยการเลือกดื่มน้ำเปล่าในปริมาณ 2 – 3 แก้ว
-------------------------------------
อาหารที่ไม่ควรทานหลังจากออกกำลังกาย
เครื่องดื่มบำรุงกำลัง น้ำอัดลม น้ำปั่นผลไม้ต่างๆ จริงๆ แล้วลองเปลี่ยนการดื่มเครื่องดื่มบำรุงกำลัง น้ำอัดลมหรือน้ำปั่นผลไม้มาเป็นการดื่มน้ำเปล่าจะดีกว่า เพราะในเครื่องพวกนี้จะมีน้ำตาลเป็นส่วนผสมอยู่สูง ถ้าเกิดอยากเพิ่มความสดชื่นให้กับร่างกายนั้น แนะนำให้เลือกกินโยเกิร์ตที่มีไขมันต่ำหรือน้ำตาลน้อยจะช่วยให้ร่ายกายมีความสดชื่นได้ดีกว่า
ขอบคุณภาพประกอบ : http://gagetgirl.hubpages.com/hub/Smoothie-Recipes-for-Weight-Loss-and-Energy-7-Super-Easy-Recipes

อาหารหรือขนมเค็มๆ : หลังจากเสียเหงื่อจากการออกกำลังกายไปเยอะนั้น การที่เราจะกินอาหารหรือขนมที่มีรสชาติค่อนข้างเค็มจะส่งผลทำให้ความสมดุลในร่างกายที่ได้มาจากการออกกำลังกายสูญเสียไป และการกินเค็มๆ เยอะๆ จะยิ่งทำให้ตัวบวมอีกด้วย ดังนั้นแล้วอาหารรสชาติเค็มทานได้ แต่ควรเลือกทานอย่างพอดีๆ ค่ะ
ขอบคุณภาพประกอบ : http://vegandad.blogspot.com/2012/02/thai-fishless-sauce.html

ไข่ทอด : อย่างที่บอกไปแล้วว่าไข่ต้มนั้น มีประโยชน์แถมยังอิ่มท้อง แต่ถ้าหลังจากออกกำลังกายเราเลือกกินไข่ทอด น้ำมันที่มาจากการทอดไข่นั้นมันไม่ดีกับร่างกายนะ ดังนั้นแล้วถ้าอยากกินไข่ เลือกกินไข่ต้มจะดีกว่า

โดนัท ขนมปัง : ถ้าจะเลือกกินขนมปังแนะนำให้เลือกที่เป็นโฮลเกรนหรือโฮลวีนจะดีกว่าขนมปังขาว ยิ่งโดนัทนั้นเต็มไปด้วยไขมัน จึงนับเป็นอาหารที่ไม่ควรทานหลังจากออกกำลังกาย
เป็นยังไงกันบ้างค่ะสาวๆ หลังจากออกกำลังกายเสร็จแล้วก็อย่าลืมเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพด้วยนะค่ะ

อ้างอิงจาก http://women.sanook.com/38233/